เปิดโผ 15 หุ้นไทย รับช่วง “สุญญากาศทางการเมือง” โหวตนายกฯยืดเยื้อ

โหวตนายก : สรุปผลโหวต “พิธา” ได้เสียงหนุน 324 เสียง พลาดนั่งนายกฯรอบแรก

หุ้นไทยเขียวยกแผง พุ่ง 18 จุด หลัง “พิธา” แพ้โหวตนายกรอบแรก

จากการกรณีการประชุมร่วมของรัฐสภา เพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย ผลปรากฏว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล ไม่ผ่านการโหวตเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป เนื่องจากได้คะแนนเสียงสนับสนุนไม่เพียงพอจากรัฐสภา โดยได้รับความเห็นชอบ 324 เสียง ไม่เห็นชอบ 182 เสียง และงดออกเสียง 199 เสียง ซึ่งเสียงสนับสนุนไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา หรือ 376 เสียง

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ภาวะที่เป็นสุญญากาศทางการเมือง หากนานเกินไปจะมีผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจไทย โดยนอกจากจะทำให้ขาดนโยบายในการขับเคลื่อนประเทศที่ชัดเจนแล้ว ก็จะมีผลต่อระบบงบประมาณ ที่กำลังจะหมดปีงบประมาณในวันที่ 30 ก.ย. 66

โดยหากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า ก็จะทำให้การจัดทำงบประมาณแผ่นดินปี 2567 ต้องล่าใช้ออกไป ซึ่งเดิมปกติจะเริ่มใช้ 1 ต.ต. 66

นอกจากนี้หากไม่มีความสงบนอกสภา โดยมีการนัดหมายชุมนุมกันในหลายจังหวัด อาจสร้าง Downside ต่อประมาณการ จีดีพี (GDP) ในปีนี้ได้

ขณะที่ปัจจุบันแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ตัวหลักอยู่ที่ภาคการท่องเที่ยวในภาวะปกติ เช่น ปี 62 มีสัดส่วนรายได้ราว 12% ของมูลค่า GDP ทั้งหมด ซึ่งต้องจับตาว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่การชะลอตัวของนักท่องเที่ยวหรือไม่ และหากนักท่องเที่ยวต่ำกว่าเป้าหมายก็จะมีผลกระทบต่อการทำกำไรของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว – โรงแรม เช่น CENTEL ERW MINT SHR AOT เป็นต้นคำพูดจาก สล็อตออนไลน์

สำหรับในช่วงที่การเมืองเกิดภาวะสุญญากาศ กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ เน้นหุ้นพื้นฐานแกร่งที่ย่อลงมาลึกจากความกังวลการเปลี่ยนผ่านนโยบายทางการเมือง หรือ กลัวผลกระทบนโยบายของรัฐบาลก้าวไกล ดังนี้

1. หุ้นต้นทุนค่าแรง รายได้อิงโครงการภาครัฐ STEC, CK, BEM

2. หุ้นหวังพึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม SAWAD, CBG, JMT, TIDLOR

3. หุ้นทุนผูกขาด TRUE, CRC, CPN, CPALL

4. หุ้นได้รับผลกระทบปรับสูตรค่าไฟฟ้า GULF, BGRIM, GPSC, PTTGC

อย่างไรก็ตาม การเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งแรกไม่สำเร็จ และน่าจะมีการนัดหมายเลือกอีกครั้งในวันที่ 19 ก.ค.66 นี้ แต่เนื่องด้วยประเด็นความเสี่ยงทั้งนอกและในสภายังมีอยู่มาก คาดทำให้มีโอกาสเปิด Downside ของอัตราการเติบโต GDP ไทย จากเดิมคาดอยู่ในกรอบ 3.5 – 4.0%

ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯคาดการณ์ตลาดหุ้นไทย (SET Index) มีโอกาสผันผวนต่อไปในเดือนนี้ และเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (FundFlow) ยังคงไม่ไหลเข้ามาสะสมในเร็ววัน

สำหรับวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ในกรอบ 1,480-1,515 จุด และเลือกกลุ่มหุ้นสลับขั้วที่มีโอกาส Outperform ตลาดหุ้นไทย ในช่วงเวลาดังกล่าว